อาหารทำเอง, อาหารง่ายๆ, สูตรข้าวแกง, สูตรอาหาร อร่อยๆ, อาหารไทย, วิธีทำอาหาร อาหารไทยง่ายๆ





วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

3 เมนูหลักข้าวราดแกง ที่ขายดีที่สุด ต้องมีประจำร้าน

พูดถึงข้าวราดแกง เมื่อเรื่มเปิดร้านขายข้าวราดแกงใหม่ ก็จะไม่รู้ว่า เมนูอาหารอะไรที่ขายดี แต่พอขายไปซักระยะก็จะทราบว่า เมนูที่ต้องมีประจำที่ขายดีที่สุด และพอที่จะขายได้ สำหรับ บล็อค อาชีพขายข้าวแกงก็มีอาหารที่ขายดีประจำร้าน ที่สามารถขายได้ทุกวัน

ข้าวราดแกงที่ขายดี

 แกงพะแนงหมู
แกงพะแนงหมู  เป็นเมนูข้าวราดแกงที่จะต้องมีประจำร้านทุกวัน แกงนี้สามารถเก็บไว้ขายได้ในวันต่อไป ถ้าขายไม่หมด สามารถทำเพิ่มได้ ด้วยรสชาติที่ถูกปากของคนทุกภาค คือไม่เผ็ดมาก ความมันจากกะทิ ความความจากหัวกะทิ



ไข่พะโล้
ไข่พะโล้        เป็นเมนูข้าวราดแกงที่ขาดมิได้เลย ต้องมีไว้ประจำร้าน แกงไข่พะโล้ สามารถ กินคู่กับแกงได้หลายชนิด เช่น กินกับ แกงพะแนง แกงส้ม คั่วกลิ้ง มากมาย และเป็นแกงที่เด็กกินได้ ในแกงพะโล้จะมีหมู หรือ ไก่ ก็ได้



สูตรแกงคั่วกลิ้ง
แกงคั่วกลิ้ง  เป็นอาหารของปักษ์ใต้ แต่จากการที่ได้ทดลองขายข้าวราดแกง ก็สรุปได้ว่า สามารถกินได้ เพราะลูกค้าที่มากิน ก็สั่งคั่วกลิ้ง กินกับแกงชนิดอื่น เช่น พะโล้ ผัดผัก หมูทอด ด้วยรสชาติที่จัดจ้าน ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจ ผู้ได้กินแกงคั่วกลิ้งนั้นเอง

สูตรน้ำพริกกะปิ มะดัน
เมนูแถม น้ำพริกกะปิ เป็นอาหารที่ขาดมิได้แล้ว เพราะทางร้านข้าวแกง จัดเป็นของฟรีไว้บริการลูกค้า และ ด้วยผักที่ทางร้านได้จัดไว้บริการ เช่น มะเขือม่วง ถั่วฝักยาว แตงกวา ซึ่งมีประโยชน์ทั้งนั้น

จาก ที่กล่าวมา 3 เมนูหลักข้าวราดแกง ที่ขายดีที่สุด ก็น่าจะเป็นที่ถูกใจของใครหลายๆ คน ใครจะนำสูตรข้าวแกงไปทำ กิน หรือ ทำขายก็ได้ ไม่หวง


Share:

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สูตรเด็ดและวิธีทำแกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง อร่อยต้องลอง

แกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง

แกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง จะคล้ายกับแกง พะแนงหมู แกงที่ทุกคนรู้จัก และเป็นอาหารภาคกลาง การที่จะทำให้อร่อย มันไม่ยาก แต่จะหากินที่อร่อยมันยาก ทั้งนี้ก็เพราะแต่ละคนที่ปรุงอาหารก็ไม่เหมือนกัน แต่สูตรและวิธีทำแกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง ของ บล็อคอาชีพขายข้าวแกง รับรองว่าติดใจไปหลายราย และเป็นแกงที่ขายหมดก่อนเพื่อน มาดูสูตรและวิธีทำแกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง กัน

วิธีทำแกงเผ็ดหมู
วิธีทำแกงเผ็ดหมู


เครื่องปรุง

- เนื้อหมู              1         กก.
- น้ำกะทิสด         1         กก.
- ฟักทอง             1         กก.
- พริกแดงใหญ่    5         ฝัก
- ใบมะกรูดพอประมาณ
- พริกแกงเผ็ด
- ใบแมงลักพอประมาณ
- กะปิ                   1         ช้อนแกง
- น้ำตาลทราย      1        ช้อนแกง
- เกลือ                 1        ช้อนแกง

วิธีทำแกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง

หันหมูเป็นชิ้นพอดีคำพักไว้ก่อน นำหัวกะทิ (ให้เหลือหัวกะทิบางส่วน) กะปิ และเครื่องแกง ไปปั่นรวมกัน และนำไป ใส่หม้อ ตั้งไฟ  ทำการเคี่ยวให้แตกมัน และมีกลิ่นหอมของเครื่องแกง จากนั้นนำหมูใส่ลงไป ทำการเคี่ยวหมูให้คลุกเคล้ากับเครื่องแกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง จากนั้นนำหางกะทิทั้งหมดใส่ลงไป ตามด้วยฟักทอง ตามด้วยเครื่องปรุง เกลือ น้ำตาล แล้วชิมให้ได้รสชาติ เค็มนำ หวานตาม นิดๆ จากนั้น ตามด้วย หัวกะทิที่เหลือไว้ และสุดท้าย แต่งสีสันของแกงแกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง ด้วย พริกแดง ใบมะกรูด และใบแมงลัก เป็นอันเสร็จ วิธีทําแกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง

เคล็ดลับ
แกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง จะอร่อยตรงที่ การเลือกพริกแกง และกรรมวิธีการปรุง จะต้องเคี่ยวพริกแกง กับน้ำกะทิให้แตกมัน และอยู่ตรงขั้นตอนสุดท้าย คือ การใส่หัวกะทิลงไป จะเป็นการเพิ่มความเข้มข้นและหวานจากหัวกะทิ ทำมให้ สูตรและวิธีทําแกงเผ็ดหมูใส่ฟักทอง ของ บล็อคอาชีพขายข้าวแกง ขายได้ทุกวัน ลูกค้าติดใจในรสชาติ ลองดู

สูตรข้าวแกง
Share:

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สูตรและวิธีทำ แกงเขียวหวานหมู ทำขายดี ทำกินเยี่ยม


แกงเขียวหวานหมู



Advertisment


ง่ายๆ กับ บล็อค อาชีพขายข้าวแกงแบ่งปันสูตรอาหาร ถึงคราวอาหารอีกอย่าง คือ แกงเขียวหวานหมู เป็นสุดยอดเมนูอาหารอีกอย่างที่นิยมทานกัน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ฝรั่งมังค่า เชื่อว่าทุกคนต้องเคยกินกัน ด้วยรสชาติที่ไม่เผ็ดมาก บวกความหวานจากกะทิ เติมสีสัน สีเขียวด้วยเครื่องแกงเขียวหวาน ซึ่งทำมาจากผิงมะกรูด เป็นสีธรรมชาติ ครบเครื่องไปด้วย สมุนไพร สูตรและวิธีทำง่าย ไม่ยาก

 แกงเขียวหวานหมู
 แกงเขียวหวานหมู
แกงเขียวหวานหมู




เครื่องปรุง
- เครื่องแกงเขียวหวาน     1    ขีด
- ใบโหระพา                     1    ขีด
- มะเขือเปาะ                     2    กก.
- เนื้อหมู                           1    กก.
- น้ำกะทิ (หัว + หางกะทิ)     1   กก.
- พริกสดแดงใหญ่             5    ฝัก
- ใบมะกรูด
- เกลือ
มะเขือเปาะ
มะเขือเปาะหั่น 8
- น้ำตาลปี๊บ

วิธีทำ

หั่นหมูพอดีคำ หั่นมะเขือเปาะ ซอยพริกแดงใหญ่ พักไว้ก่อน จากนั้น นำน้ำหัวกะทิปั่นรวมกับ พริกแกงเขียวหวาน ติดไฟ ตั้งหม้อ ใส่น้ำหัวกะทิที่ปั่นกับเครื่องแกงเขียวหวามลงไป ใส่หมูลงไป ทำการเคี่ยวให้แตกมันซักพัก จากนั้น นำหางกะทิใส่ลงไป ตามด้วย มะเขือเปาะ รอให้น้ำแกงเดือด จากนั้น ใส่เครื่องปรุง เกลือ น้ำตาลปี๊บ คนให้เข้ากัน ชิมให้ได้รส ตามด้วย หัวกะทิที่เหลือ เมื่อใส่แล้วจะทำให้แกงเขียวหวานหมูสีนวล สุดท้ายใส่ ใบมะกรูด และใบโหระพา เป็นอันเสร็จ แกงเขียวหวานหมู พร้อมทานเป็นกับข้าว หรือ ทานกับขนมจีนก็อร่อย


เคล็ดลับความอร่อย
แกงเขียวหวานหมู จะได้รสชาติ อย่าลืมใส่ใบโหระพา เคี่ยวกะทิให้แตกมัน การผสมเครื่องแกงกับหัวกะทิให้ลองใช้เคื่องปั่นเป็นตัวผสม จะได้ความเนียนของน้ำแกง และสีสันที่น่ากิน


Advertisment


Share:

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีทำและสูตรต้มข่าไก่ ใส่มะดัน ไม่ใส่น้ำตาล

สูตรต้มข่าไก่
ง่ายๆ สบายๆ กับอาหารไทย ต้มข่าไข่ วิธีทำต้มข่าไก่ เป็นอาหารที่เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี ข่าเป็นสมุนไพรหลักในการปรุง ด้วยรสชาติความหวานจากน้ำกะทิ และรสเปรี้ยวจากมะดัน ทำให้หลายๆคนติดใจในรสชาติ วิธีทำ และสูตรต้มข่าไก่ง่าย ไม่ยุ่งยาก ทำเสร็จพร้อมขาย ข้าวราดแกงได้ทันที

สูตรต้มข่าไก่
วิธีทำและสูตรต้มข่าไก่ ใส่มะดัน ไม่ใส่น้ำตาล



เครื่องปรุง
- น้ำกะทิสดพร้อมหางกะทิ         1   กก.
- ตะใคร้                                      3   ต้น
- หอมแดง                                  5   หัว
- เกลือ                                       1    ช้อนแกง
- มะดัน                                       10  ลูก
- ข่า                                           1/2  กก.
- เนื้อไก่หั่น                                1     กก.
- เห็ดนางฟ้า                              1     กก.
- พริกแดงใหญ่                          5     ฝัก
- ต้นหอม                                   3     ต้น

วิธีปรุง

วิธีทำและสูตรต้มข่าไก่
วิธีทำและสูตรต้มข่าไก่
และแล้วก็มาถึงขั้นตอนการปรุง นำเนื้อไก่ (ถ้าเอาแบบรวดเร็วทันใจ ก็ไปซื้อแบบหั่นเสร็จสำเร็จรูป) มาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำพักไว้ก่อน นำน้ำหางกะทิตั้งไฟ ใส่ขา และ ตะไคร้ลงไป จากนั้นเคี่ยวจนแตกมัน ใช้ไฟร้อนๆ จากนั้นใส่เนื้อไก่ลงไป ตามด้วย เกลือ และมะดัน ชิมให้ได้รส ใส่หัวกะทิลงไป และขั้นตอนสุดท้าย เพื่อเติมสีสันของแกงข่าไก่ ใส่ พริกแดงใหญ่ และ ต้นหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป ชิมอีกครั้ง เป็นอันเสร็จ พร้อมกินกับข้าวร้อนๆ หรือ ขายข้าวแกงถุง ก็ดี

เคล็ดลับ
จะเห็นว่า เมื่อชิมรสแล้วแกงข่าไก่จะมีรสเปรี้ยวหวาน ทั้งนี้รสหวานมาจาก การใส่หัวกะทิเป็นขั้นตอนสุดท้าน ส่วนความมันมาจากการเคี่ยวหางกะทิ ความมันจะไม่มันมาก เพราะเราใช้หางกะทิในการเคี่ยว ใครที่กินแกงข่าไก่ไม่ใส่น้ำตาล ก็ลองใช้สูตรนี้ทำกินดูนะครับ

บอกเล่าสุขภาพ
สูตรข้าวแกง                                
Share:

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

8 อาหารช่วยลดความดันสูง

8 อาหารช่วยลดความดัน

คนเรามักจะป่วยเป็นโรคความดันสูงโดยเมื่อตอนอายุมากขึ้น และเมื่อตอนนั้นก็อาจสายไปสำหรับการรักษา แต่จะมีวิธีบอกกล่าวเกี่ยวกับอาหารที่ลดความดันสูง คือกินกันไว้ก่อนไม่เป็นไร ส่วนคนที่เป็นความดันอยู่แล้ว หรือเพิ่งเป็น ก็กินได้ไม่มีปัญหา

นมที่มีไขมันต่ำ (Low Fat Milk)
อาหารช่วยลดความดันสูง

การดื่มนมไขมันต่ำ จะดีต่อสุขภาพของหัวใจ โดยมันจะจัดหา แคลเซียม และวิตามิน D โดยที่ทั้งคู่จะทำงานร่วมกัน เมื่อกินเข้าไปแล้ว มันจะช่วยลดความดันลง 3 ถึง 10 เปอร์เซนต์







ผักขม (Spinach)

ผักขมจะมีแคลอรีต่ำ และให้ ไฟเบอร์สูง ผักใบเขียวจะมี โพแทสเซียม โฟเลต และ แม็กนีเซียม จุดประสงค์หลักของทั้ง 3 สารอาหาร คือ ทำหน้าที่รักษาความดันให้อยู่ในระดับที่คงที่ ใครที่ไม่ชอบทานผักขม ก็มีวิธีแนะนำ คือให้กินกับสลัด หรือว่า กินกับแสนวิชก็ได้ เพื่อที่จะได้กินง่ายขึ้น






เมล็ดทานตะวัน (Sunflower Seeds)

เมล็ดทานตะวันเป็นแหล่งแม็กนีเซียมชั้นเลิศ และแม็กนีเซียม ก็ทำหน้าที่เหมือนกับผักใบเขียว คือรักษาความดันให้อยู่ในระดับคงที่ แต่ก่อนซื้อทาน คุณต้องแน่ใจว่าไม่มีเกลือผสม





รวมถั่วต่างๆ (Beans)

ถัวก็เป็นอาหารช่วยลดความดันอีกตัวหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ซึ่งในถั่วมีสารอาหาร โปแตสเซียม ไฟเบอร์ และ แม็กนีเซียม สารอาหารทั้งหมด เป็นสารอาหารชั้นเยี่ยม ที่ดีต่อการทำงานของหัวใจ ช่วยควบคุมความดัน และเพิ่มประสิทธิ์ภาพของหัวใจอีกด้วย คุณสามารถที่จะใส่ถั่วเข้าไปในของที่ชอบ เช่น สลัด หรือ ซุป



มันฝรั่งอบ (Baked white potatoes)

มันฝรั่ง มีสารอาหาร แม็กนีเซียม และ โพแทสเซียม ซึ่งสารอาหารทั้งสองอย่างจะทำหน้าที่บำรุงหัวใจ การทำงาน คือ เมื่อ โปแตสเซียมต่ำ ส่งผลให้ร่างการต้องการ โซเดียม (เกลือ) มากขึ้น จะส่งผลให้เกิดความดันสูงนั่นเอง





กล้วย (Bananas)

กล้วยเป็นอาหารลดความดัน และเป็นแหล่งสารอาหารที่ชื่อว่า โพแทสเซียม กินกล้วยกับอาหารเช้า หรือจะสไลด์ แล้วแช่ตู้เย็นกินก็อร่อยไปอีกแบบ






ถั่วเหลือง (Soybeans)

ถั่วเหลืองเป็นแหล่งสารอาหารของ แม็กนีเซียม และ โพแทสเซียม ที่ดีที่สุด จากที่กล่าวมาทั้งหมด ใครที่เป็นความดันสูง หรือโรคหัวใจ ก็ให้กินถั่วเหลืองได้เลย






ช็อคโกแลตดำ (Dark Chocolate)

ให้กินช็อคโกแลตดำไม่เกิน 30 แคลอรี ต่อวันจะดี จาการศึกษาของ Journal of the American Medical Association (JAMA). กล่าวว่า ให้เลือก ช็อคโกแลตดำที่มีส่วนผสมของ ผง โกโก้ อย่างน้อยประมาณ 70 % ถึงจะมีผลต่อการกินเพื่อควบคุมความดัน






ที่มา และ รูป: http://www.joybauer.com/
แปลโดย: http://thaifoodrecipesmake.blogspot.com/
Share:

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร เพื่อผิวดูอ่อนวัย

วิธีดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร เพื่อผิวดูอ่อนวัย

ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้น เพราะอะไร คำตอบคือ เซลล์ผิวหนังเราเป็นเนื้อเยื่อที่ต้องการน้ำไปเลี้ยงนั่นเอง ถ้าขาดน้ำไปหล่อเลี้ยง เซลล์ผิวหน้าของเราก็จะขาดความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง หรือ เรียกอีกอย่างว่า "ผิวหน้าไม่มีน้ำมีนวล"

แล้วจะทำยังงัยให้ผิวหน้าไม่เหี่ยว คำตอบก็คือ ดื่มน้ำมากๆ ดื่มเข้าไป แล้วมันจะเห็นผลทันทีหรือไม่ แล้วถ้าดื่มน้ำมากๆ คราวเดียวมันจะมีผลต่อร่างกายคนเราอย่างไรบ้าง

มาดูความคิดเห็นของแพทย์ ก่อนที่จะไปดู วิธีดื่มวันละน้ำ 3 เพื่อผิวสวย ดูอ่อนวัย

ข้อมูลจาก: http://health.kapook.com/
       
อธิบดีกรมการแพทย์ เตือน อย่าดื่มน้ำมากเกินวันละ 6-7 ลิตร เพราะเสี่ยงเกิดอาการไฮโปแนทรีเมีย สมองบวมจนเสียชีวิตได้

          นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า การดื่มน้ำนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบ 2 ใน 3 ของร่างกาย แต่หากดื่มน้ำมากเกินไปคือ วันละ 6-7 ลิตร จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำปริมาณมากเกินไปในเวลารวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะน้ำเกิน หรือน้ำเป็นพิษ (Water Intoxication) เนื่องจากน้ำจะเจือจาง ทำให้ความเข้มข้นของแร่ธาตุโซเดียมลดลง

          ทั้งนี้ โซเดียมถือเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในร่างกาย มีหน้าที่รักษาสมดุลน้ำระหว่างนอกเซลล์และภายในเซลล์ เมื่อถูกเจือจางลง จะทำให้น้ำภายนอกเซลล์ซึมเข้าไปภายในเซลล์ ทำให้เซลล์บวมน้ำ เกิดภาวะที่ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ หรือไฮโปแนทรีเมีย (Hyponatremia) จะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาจกระตุกหรือชัก สมองบวม ปอดบวม และเสียชีวิตได้

          ด้านแพทย์หญิงนฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ ได้แนะนำให้ผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ ระมัดระวังในการดื่มน้ำ คือต้องปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ ส่วนคนที่ชอบดื่มน้ำมาก ๆ ให้ท้องอิ่ม จะได้ไม่ต้องทานอาหารเพื่อหวังจะลดน้ำหนักนั้น อาจเป็นอันตรายได้ เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือโซเดียมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกบ่อย ๆ จนอาจทำให้นอนไม่พอ ส่วนนักกีฬาที่เสียเหงื่อมาก ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากเกิน 1 ลิตรในเวลาอันรวดเร็ว เพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะไฮโปแนทรีเมียได้เช่นกัน

          สำหรับวิธีการดื่มน้ำที่ถูกวิธีนั้น ต้องดื่มวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอกับร่างกาย และช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำได้ แต่ไม่ควรดื่มทีเดียวหมด วิธีการที่ถูกต้องก็คือ ควรจิบบ่อย ๆ ทีละน้อย แต่ตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันอาการท้องอืด และให้ร่างกายได้มีเวลาดูดซึมน้ำ นอกจากนี้ ยังไม่ควรให้ร่างกายขาดน้ำเกิน 2 ชั่วโมง ดังนั้น จึงควรพกน้ำติดตัวไว้เสมอ จะได้สามารถดื่มได้ตลอดทั้งวัน

วิธีดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร เพื่อผิวดูอ่อนวัย

เรามาดูก่อนว่า น้ำ 1 ออนซ์ มีปริมาณเท่าไร

1 ออนซ์ เท่ากับ 30 ml. (หรือ 30 cc.) โดยประมาณ แก้วนึงมี 8 ออนซ์ ก็เป็น 240 ml. โดยประมาณ 8 แก้วต่อวัน แก้วละ 240 ml. วันนึงต้องดืม 1,920 ml. โดยประมาณ นั้นก็คือ 2 ลิตรนั่นเอง

ง่ายๆ ก็ คือ น้ำดื่มที่มีขายเป็นลิตรตามร้านสะดวกซื้อ จำนวนสองขวด ซึ่งมีขนาดขวดละ 1.5 ลิตร รวม 2 ขวดแล้ว ก็เป็น 3 ลิตร สะดวกดี

วิธีดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร เพื่อผิวดูอ่อนวัย
วิธีดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร เพื่อผิวดูอ่อนวัย


วิธีการดื่ม
น้ำดื่มต้องสะอาด ไม่ร้อน หรือเย็นจนเกิดไป มีผู้รู้หลายท่านแนะนำให้ดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้อง(ประมาณ 37 องศา) และควรเป็นน้ำกรอง ไม่ใช้น้ำต้ม น้ำต้ม จะทำให้สูญเสียสารอาหารที่อยู่ในน้ำ เช่น เกลือแร่ จะถูกกำจัดไปเพราะความร้อน

การดื่ม ห้ามดื่มมากๆ ในครั้งเดียว ควรดื่มบ่อยๆ หรือจิบบ่อย ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมน้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวหนังตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และที่สำคัญ คือ ผิวหน้าจะได้ดูสดชื่น

การดื่มให้แบ่ง ตามสะดวกดังนี้

  • ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว
  • ตอนสาย (ประมาณ 09.00-10.00 น.) 2 แก้ว
  • ตอนบ่าย (ประมาณ 13.00-14.00 น.) 3 แก้ว
  • ตอนเย็น (ประมาณ 19.00-20.00 น.) 3 แก้ว
  • และก่อนเข้านอน 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบาย

ใครที่อยากผิวหน้าสวยใส และดีต่อสุขภาพ ก็ให้หันมาดื่มน้ำกัน และถ้าไม่เข้าใจก็ให้ดูรูปภาพประกอบอีกครั้ง

Image and Detail: http://www.zvite-skincare.com/

Share:

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

คิดอาหารทิพย์ กรดโพรพิโอนิก อิ่มเร็วไม่อ้วน

คิดอาหารทิพย์ กรดโพรพิโอนิก อิ่มเร็วไม่อ้วน

กินกล้วยดีต่อสุขภาพ ไม่เกี่ยวกับ กรดโพรพิโอนิก
จากงานวิจัยและค้นพบของนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจแห่งลอนดอน สามารถคิดค้นส่วนผสมอาหารที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น และป้องกันการอ้วน

ในการค้นพบนี้ได้ทำการทดลองให้อาสาสมัครที่มีน้ำหนักเกินได้กิน ในการทดสอบหนแรกนี้ปรากฎว่าได้ผลดี และสามารถป้องกันน้ำหนักเกินได้ ซึ่งสารที่ใช้ทดลองและผสมลงไปก็คือ สารที่ได้จากเกลือของกรดโพรพิโอนิก (Propionic acid) ซึ่งสารนี้เมื่อร่างการรับแล้วมันจะไปกระตุ้นกระเพาะอาหารให้ขับฮอร์โมน ซึ่งจะส่งผลต่อสมองสั่งให้ระงับความหิวลงได้

ศาสตราจารย์แกรี ฟรอสท์ อาจารย์คณะแพทย์ กล่าวว่า "การศึกษากับกลุ่มเล็กๆ ได้แสดงให้เห็นอย่างสนับสนุน และกล่าวว่า การให้อาหารผสม อาจช่วยป้องกันน้ำหนักตัวในผู้ที่มีน้ำหนักเกินไม่ให้เพิ่มขึ้นอีกได้ คงจะต้องกินเป็นประจำจึงได้ผล"


มารู้จักกรดโพรพิโอนิก (propionic acid) กัน

กรดโพรพิโอนิก (propionic acid) หรืออาจเรียกว่า propanoic acid กรดอินทรีย์ที่พบในอาหาร ที่เกิดจากการหมัก (fermentation) เช่น การหมักเมล็ดโกโก้ เนยแข็ง เป็นต้น

กรดโพรพิโอนิก ใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร (food additive) ที่มีหน้าที่เป็นสารกันเสีย (preservative) ใช้เป็นสารกันรา ป้องกันการเจริญของรา (mold) ในอาหาร

แล้วมีอาหารอะไรบ้างที่มีส่วนผสมของ กรดโพรพิโอนิก
อาหาร ปริมาณสูงสุดที่ให้ใช้ได้ (มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม)

เว้นแต่ได้ระบุปริมาณเฉพาะ
น้ำตาลปีบ 2,000
โพรเซสชีส (processed cheese) 3,000
ผลิตภัณฑ์นม ยกเว้น นมจืดชนิดเหลว นมเปรี้ยวไม่ปรุงแต่งครีมพาสเจอร์ไรส์ ครีมสเตอริไลส์ ครีมยูเอชที วิปปิ้งครีม และครีมไขมันต่ำ ย
กเว้นโพรเซสชีส
ปริมาณที่เหมาะสม
ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำผสมน้ำมัน (อิมัลชัน) เช่น เนยเทียม มินารีน
รวมทั้งขนมหวานทำนองนี้
ปริมาณที่เหมาะสม
ไอศกรีม ปริมาณที่เหมาะสม
ผลไม้ที่ผ่านกรรมวิธี เช่น ผลไม้แห้ง ผลไม้ผ่านกรรมวิธีแคนนิ่ง (canning) ขนมหวานจากผลไม้ เป็นต้น ปริมาณที่เหมาะสม
พืชผัก สาหร่าย ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่าง ๆ ที่ผ่านกรรมวิธี
เช่น พืชผักแห้ง พืชผักที่ผ่านกรรมวิธีแคนนิ่ง เป็นต้น ยกเว้นกรรม
วิธีเยือกแข็ง (freezing) และหมักดอง (fermentation)
ปริมาณที่เหมาะสม
ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ธัญพืชอาหารเช้า ขนมหวาน
จากธัญพืช แป้งสำหรับชุบอาหารทอด และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
ปริมาณที่เหมาะสม
ผลิตภัณฑ์ขนมอบ เช่น ขนมปัง ขนมเค้ก คุกกี้ ขนมพาย เป็นต้น ปริมาณที่เหมาะสม
ผลิตภัณฑ์ขนมหวาน เช่น ลูกกวาด ลูกอมช็อกโกแลต (chocolate) หมากฝรั่ง เป็นต้น ปริมาณที่เหมาะสม
ผลิตภัณฑ์เนื้อ ยกเว้นเนื้อสด ปริมาณที่เหมาะสม
สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ยกเว้นสัตว์น้ำสดและสัตว์น้ำเยือกแข็ง ปริมาณที่เหมาะสม
ผลิตภัณฑ์ไข่ ยกเว้นไข่สด ไข่เหลว และไข่เยือกแข็ง ปริมาณที่เหมาะสม
ผลิตภัณฑ์ประเภทซอส ซุป สลัด และผลิตภัณฑ์โปรตีนสกัด ปริมาณที่เหมาะสม
อาหารสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ปริมาณที่เหมาะสม
เครื่องดื่ม ยกเว้นน้ำผักผลไม้ น้ำแร่ธรรมชาติ ชา กาแฟ เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดชงและเครื่องดื่มจากธัญพืช ปริมาณที่เหมาะสม

ที่มาข้อมูล http://www.foodnetworksolution.com/

กรดโพรริโอนิก มาจากใหน
กรดโพรพิโอนิกสามารถผลิตไดทั้งขบวนการทางเคมีและกระบวนการทางชีวภาพ ในการ
ผลิตเพื่อการค้านิยมผลิตโดยกระบวนการทางเคมีเนื่องจากได้ผลผลิตสูงตามความต้องการและมี
ระยะเวลาในการผลิตเร็วกว่ากระบวนการทางชีวภาพแต่กรดโพรพิโอนิกที่ผลิตได้มีกระบวนการ
ยุ่งยากเพราะมีสารก่อให้เกิดมลพิษในสิ่งแวดลอ้ มในช่วงการทา ให้บริสุทธ์ิดงัน้ันจึงมีการศึกษา
วิธีการผลิตทางชีวภาพเนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ได้ไม่มีความเป็นพิษและสามารถใชก้ บัอุตสาหกรรม
ประเภทอาหารได้ค่าใชจ้่ายในการผลิตไม่สูงนกั การผลิตกรดโพรพิโอนิกโดยกระบวนการทางชีวภาพ
นิยมใชเ้ช้ือแบคทีเรียในสกลุ Propionibacterium

การผลิตกรดโพรพิโอนิกทางชีวภาพมีข้อจำกัดเป็นผลมาจากการผลิตกรดโพรพิโอนิก จาก
กระบวนการหมักจะได้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณ ที่น้อย เช่น การหมักแบบกะสามารถผลิตกรด
โพรพิโอนิกได้เพียงร้อยละ1-3 ซึ่งใช้เวลาในการหมัก 7-14 วัน(Schuppert และคณะ. 1992)จึงได้มี
การคิดหาวิธีเพื่อเพิ่มผลผลิตดว้ยวิธีต่างๆ เช่น การใชก้ ารตรึงเซลล(Yang ์ และคณะ. 1994 ;
Suwannakham และ Yang. 2005)การใช้ระบบการหมักแบบก่ึงกะ(Martinez-Campos และ Torre.
2002) การใช้ระบบการหมักแบบต่อเนื่องและการคดัเลือกอาหารที่เหมาะสมกบัการผลิตกรด
โพรพิโอนิก(Quesada-Chantoและคณะ. 1994)

กรดโพรพิโอนิกและเกลือของกรดโพรพิโอนิกเป็นกรดไขมันสายสั้นๆ อู่ยในกลุ่มของ
Aliphatic monocarboxylic acid กรดโพรพิโอนิกสามารถพบได้ตามธรรมชาติในอาหารประเภท
หมักดอง ในเหงือของคน Swiss cheese และในกระเพาะอาหารของสตัวเ์ค้ียวเอ้ืองกรดโพรพิโอนิก
สามารถละลายไดด้ีในน้า เอทานอล และอีเทอร์ส่วนเกลือโพรพิโอเนทสามารถละลายน้า ไดร้้อยละ
30 แต่ไม่ละลายในไขมนั (Lindและคณะ. 2005)

กรดโพรพิโอนิกเป็นกรดอินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ใน
อาหารโดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่(Himmi และคณะ. 2000) และอาหารสัตว์(Schuppert. 1992)
และนิยมใช้ในอุตสาหกรรมการการท าพลาสติกในรูปของ cellulose propionate (Barbirato และ
คณะ. 1997) ในอุตสาหกรรมน้า หอมในรูปของ ethyl propionate ซึ่งท าหน้าที่เป็ นตัวท าละลาย
(Czaczykและคณะ. 1995) นอกจากน้ียงัใชเ้ป็นสารยบัย้งัการเจริญเติบโตของเช้ือรา (Lindและคณะ
.2005)และเป็ นสารที่ช่วยเพิ่มกลิ่นรสของอาหาร(Yangและคณะ.1994)

การใช้ในอาหารนิยมใช้ในรูปของเกลือมากกว่ากรดโดยจะอยู่ในรูปของเกลือแคลเซียม
โซเดียม และโปแทสเซียม โดยเกลือโซเดียมจะละลายไดด้ีกวา่ เกลือแคลเซียม ดงัรูปที่2.1

สูตรทางวิทยาศาสตร์
CH3-CH2-COOH 
กรดโพรพิโอนิก

CH3-CH2-COONa 
โซเดียมโพรพิโอเนต

(CH3-CH2-COO)2Ca
 แคลเซียมโพรพิโอเนต

ที่มาข้อมูล: dric.nrct.go.th , http://www.foodnetworksolution.com/


Share:

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

พืชสมุนไพร ใบยี่หร่า ประโยชน์ การทำอาหาร และสุขภาพ

ยี่หร่า
ชื่อวิทยาศาสตร์:   Ocimum gratissimum Linn.
ชื่ออื่น:                  จันทร์หอม เนียมต้น เนียม กะเพราญวน โหระพาช้าง
ชื่อภาษาอังกฤษ: Shrubby Basil
วงศ์:                     LAMIACEAE

ยี่หร่าแบบกินใบที่เรานิยมใช้ผัด ซึ่งในบทความนี้เราจะพูดถึงยี่หร่าชนิดนี้ (แบบกินใบ)
ใบยี่หร่า
ใบยี่หร่า


สรรพคุณของยี่หร่า
- สมุนไพรยี่หร่า สามารถช่วยยับยั้งหรือช่วยชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้ (ใบ)
- สรรพคุณยี่หร่าช่วยในการบำรุงธาตุในร่างกาย (ใบ)
- ใบยี่หร่าอุดมไปด้วยวิตามินซี และธาตุแคลเซียม ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยขับเหงื่อ ซึ่งเป็นของเสียออกจากร่างกาย (ใบ)
- ใบยี่หร่า สรรพคุณช่วยแก้อาการคลื่นไส้ ด้วยการใช้ใบนำมาชงเป็นชาดื่มจนกว่าจะหาย (ใบ)
- ยี่หร่า สรรพคุณช่วยแก้โรคเบื่ออาหาร (ใบ)



Advertisment



- ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร (ต้น,รากแห้ง)
- ช่วยแก้อาการปวดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อย (ใบ)
- ต้นยี่หร่า สรรพคุณช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาการปวดท้อง (ใบ,ต้น,รากแห้ง)
- ประโยชน์สมุนไพรยี่หร่า ช่วยในการขับลมในลำไส้ (ใบ,ต้น,รากแห้ง)
- น้ำมันหอมระเหยจากยี่หร่า มีฤทธิ์ช่วยระงับอาการหดเกร็งของไส้ (น้ำมันหอมระเหย)
- ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ด้วยการใช้ผลแห้งประมาณ 3-5 กรัมนำมาชงกับน้ำเดือดประมาณ 1 ลิตรทิ้งไว้สักระยะแล้วจึงนำมาดื่มวันละ 3-4 ถ้วยตวง (ผล)
- ยี่หร่ายังมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัว ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนในสตรีได้ (ใบ)

ประโยชน์ของยี่หร่า
ประโยชน์ของใบยี่หร่า ใบใช้เป็นเครื่องปรุงหรือเป็นส่วนประกอบในอาหารบางชนิด เช่น แกงผัดเผ็ด ซุป ต้มยำ แกงคั่วปลาดุก เป็นต้น และยังช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย อาหารไทยบางชนิดนิยมใช้ยี่หร่าในการช่วยปรุงแต่งกลิ่นอาหาร ด้วยการคั่วเมล็ดมาโขลกผสมกับเครื่องแกง ทำเป็น แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน แกงกะหรี่ เป็นต้น เมล็ดช่วยในการถนอมอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ด้วยการนำมาป่นหรือตำผสมในเนื้อสัตว์เวลาหมัก เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยนั้นมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ จึงช่วยป้องกันอาหารไม่ให้เกิดการบูดเน่าเสียเร็วขึ้น และยังช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นอับของเนื้อสัตว์เวลาหมักก่อนนำไปตากแห้งอีกด้วย น้ำมันยี่หร่า (Caraway Oil) นอกจากจะใช้แต่งกลิ่นอาหาร ยังนำมาใช้แต่งกลิ่นสบู่ได้อีกด้วย





แหล่งอ้างอิง : www.learners.in.th, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์), สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง, หนังสือคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย (กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข), หนังสือผักพื้นบ้านภาคกลาง (สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข), พจนานุกรมสมุนไพรไทย (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม)
Share:

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ค้นพบกลไกที่ทำให้หิวตัวการทำให้อ้วน ปราบอ้วนได้สิ้นฤทธิ์

ค้นพบกลไกที่ทำให้หิวตัวการทำให้อ้วน ปราบอ้วนได้สิ้นฤทธิ์

อ้วน, ลดความอ้วน, อาหาร, กลูโคส,
Image:http://www.clipartbest.com/

ความอ้วนมักจะเป็นเหตุให้เราเครียดได้หลายทาง เมื่อเราเริ่มมีอายุมาก น้ำหนักก็มากตาม ถึงแม้จะกินน้อย มันก็ไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้ ด้วยเหตุนี้มีนักวิทยาศาสตร์ จากมหาลัยคอลเลจ แห่งลอนดอนของประเทศอังกฤษ ได้ค้นพบกลไกในสมองที่ควบคุมความหิวที่ทำให้รู้สึกหิว กระหายอาหารจำพวกน้ำตาล หรือกลูโคส และเค้าเชื่อว่าการค้นพบนี้พลอยทำให้ได้วิธีรักษาโรคอ้วนไปด้วย

มานึกวิเคราะห์ตัวเองว่าจริงหรือไม่ที่มีน้ำหนักมากขึ้น ส่วนหนึ่งที่เห็นด้วยคือ เป็นคนชอบกินน้ำชาเขียว รสน้ำผึ้งผสมมะนาว ที่มีขายตามท้องตลาด ร้านโชวห่วยแถวบ้าน เดินผ่านหน้าร้าน เป็นต้องซื้อมาดื่มทุกวัน วันใหนไม่ได้กิน มันรู้สึกขาดอะไรไปซักอย่าง แล้วเมื่อวิเคราะห์บทความนี้ มันจริงนะว่าสมองเรามันสั่งให้ต้องกินแบบที่ไม่รู้ตัว หรือขาดมิได้

พวกนักวิทยาศาสตร์ได้พบกลไกที่ทำให้สมองรู้ว่าได้รับกลูโคสมากเท่าใดและจะยิ่งมากขึ้นเมื่อรู้ว่าร่างกายมันหมด นักวิจัยคิดว่าเพราะตัวมัน จึงเป็นเหตุให้เราชอบกินของหวาน หรืออาหารจำพวกแป้ง

จากเหตุนี้เราลองวิเคราะห์ตัวเราเองดู ว่าเราชอบกินหวาน แล้ววันนึง หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน เราพยายามลด หรือไม่กิน แล้วเราเดินผ่านร้านสะดวกซื้อ มันอดไม่ได้ที่จะชิมมันซักนิดก็ยังดี นี่นั่นหรือที่นักวิจัยค้นพบตัวการที่ทำสมองสั่งการว่าเราขาดกลูโคส

Image:http://www.clipartbest.com/
หัวหน้านักวิจัย ดร. เจมส์ การ์ดิเนอร์ แจ้งว่า "สมองต้องการกลูโคสเป็นพลังงาน มันเป็นสารอาหารที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง แต่ในการวิวัฒนาการที่ผ่านมามันยากจะหาเจอ ดังนั้นเราจึงมีความรู้สึกติดใจและชอบในอาหารที่มีกลูโคสติดตัวอยู่"

และ ดร. เจมส์ การ์ดิเนอร์ มีความเห็นว่า มนุษย์ควรพยายามลดความอยากในกลูโคสลง อาจด้วยการแปลงอาหาร พร้อมกับคิดหายาแก้ไขระบบนี้ เพื่อป้องกันโรคอ้วนให้ได้

ถึงแม้ว่าการค้นพบนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่เราก็พอจะทราบว่า ความอ้วนน้ำหนักมาก เราสามารถที่จะทำให้ตัวเราลดน้ำหนักได้ ถึงแม้ว่าจะมียาลดความอ้วนมากมายที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด แต่เราก็สามารถที่จะลดได้ ด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น ลดปริมาณอาหาร ออกกำลังกาย ทำงานบ้าน เล่นกีฬา เป็นต้น

พบกับบทความ วิเคราะห์เกี่ยวกับสุขภาพ น่าอ่าน
Share:

สูตรและวิธีทํา เมนูอาหาร ผัดเผ็ดซี่โครงหมู ใส่ใบยี่หร่า

สูตรและวิธีทํา เมนูอาหาร ผัดเผ็ดซี่โครงหมู

หลังจากที่ทำเมนูอาหารสูตร ข้าวแกง ตอนนี้ก็คราวถึงทำแกงอีกอย่าง คือ ผัดเผ็ดซี่โครงหมู จะบอกว่าผัดเผ็ดซี่โครงหมู เป็นเมนูอาหารไทยอีกอย่างที่ อาชีพขายข้าวแกง ชอบกินมาก ด้วยรสชาติของใบยี่หร่า ทำให้ได้ความหอม เผ็ดร้อน จาก ใบยี่หร่า และความเข้มข้นจากการน้ำเครื่องแกงเผ็ดที่ได้จากการเคี่ยวกระดูกหมูอีกที

ผัดเผ็ดซี่โครงหมู ใส่ใบยี่หร่า
ผัดเผ็ดซี่โครงหมู ใส่ใบยี่หร่า

ใบยี่หร่า
ใบยี่หร่า


เครื่องปรุง
- เครื่องแกงเผ็ด                     1                           ขีด
- กระดูกซี่โครงหมู                 1                            กก.
- เกลือ                                   1                            ช้อนแกง
- น้ำตาลทราย                       1                            ช้อนแกง
- น้ำมันพืช                             2                            ช้อนแกง
- ใบยี่หร่า                              1                             ขีด
- พริกแดง                             5                             ฝัก
- ใบมะกรูด                            5                            ใบ
- พริกไทยสดพอประมาณ



วิธีทำ
หั่นซี่โครงหมูพักไว้ก่อน ตั้งกะทะไฟร้อน ใส่น้ำมันและตามด้วยเครื่องแกง ผัดให้เครื่องแกงมีกลิ่นหอม เติมน้ำลงไปพอประมาณ รอจนน้ำเคื่องแกงเดือด จากนั้นนำซี่โครงหมูลงไปผัดๆ ซักพักตามด้วยเครื่องปรุง เกลือ น้ำตาลทราย ชิมให้ได้รสชาติ เผ็ด เค็มพอประมาณ หวานนิด จากนั้นตุ๋น ผัดเผ็ดซี่โครงหมู เพื่อให้น้ำจากซี่โครงหมูออกมาซักพัก ชิมให้ได้รสตามที่ต้องการ ขั้นตอนสุดท้าย ใส่ใบยี่หร่า พริกไทยสด และพริกแดง ลงไป ทำการคั่วให้มีกลิ่นหอมของใบยี่หร่า





เคล็ดลับ
แกงผัดเผ็ดซี่โครงหมู ใส่ใบยี่หร่า เพื่อเพิ่มความเผ็ดร้อน สำหรับคนที่ชอบทานเผ็ด ให้ผสมพริกไทยป่นลงไปในเครื่องแกง รับรองเผ็ดร้อนหอมกลิ่นพริกไทย น่าทานยิ่งนัก นี่คือเมนูอาหารข้าวราดแกงอีกหนึ่งเมนูที่แนะนำ

หน้าแนะนำ
หลากหลาย เมนูข้าวราดแกง
หน้าหลัก อาชีพขายข้าวราดแกง
เคล็ดลับสูตรข้าวแกง
ชีวิตและสุขภาพ
Share:

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สูตรและวิธีทำ ไข่พะโล้ ให้อร่อยสำหรับ ไว้ขายข้าวแกง และทานเอง

สูตรและวิธีทำ ไข่พะโล้ ให้อร่อย ไว้ขายข้าวแกง



Advertisment


ไข่พะโล้ เป็นอาหารที่ทุกคนรู้จัก เป็นอาหารที่นิยมกินทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ด้วยรสชาติที่หวาน เค็ม เต็มไปด้วยเครื่องเทศ ไม่ว่าจะเป็น กะเทียม รากผักชี พริกไทย ผงพะโล้ ต่างก็ช่วยให้ได้คุณค่าทางอาหาร และเป็นอาหารที่เป็นยาสมุนไพรไปในตัว วิธีการทำพะโล้ ก็ไม่ได้ยากมากมาย มาดูวิธีการทำไข่พะโล้ให้อร่อย
ไข่พะโล้
สูตรและวิธีทำ ไข่พะโล้ ให้อร่อย
เครื่องปรุง
- ไข่เป็ด              20                ฟอง
- หมูสามชั้น          1                กก.
- กะเทียม              1                กำมือ
- รากผักชี              3               ราก
- ผักชี                    3                ต้น
- พริกไทย พอหยิบมือ
- น้ำตาลทราย        1/2            กก.
- เกลือ                   1               ช้อนแกง
- ซีอิ๊วดำ                1               ช้อนแกง
- ซีอิ๊วขาว              2               ช้อนแกง
- ผงพะโล้             1                ซอง




วิธีทำ
หั่นหมูสามชั้นพักไว้ก่อน โขลกกะเทียม รากผักชี และพริกไทยรวมกันพักไว้ก่อน ตั้งกะทะไฟปานกลาง ใส่น้ำตาทรายลงไป และทำการเคี่ยวน้ำตาลทรายให้ละลาย โดยสังเกตุจะมองเห็นสีเป็นน้ำตาลเป็นใช้ได้ จากนั้นนำกะเทียม รากผักชี และพริกไทยที่โขลกไว้ลงไปผัดในน้ำตาล ทำการผัดให้หอม จากนั้นให้รีบนำน้ำเปล่าใส่ลงไปประมาณ 1 ลิตร และทำการเร่งไฟให้ร้อน เพื่อที่จะให้น้ำเดือด และเมื่อน้ำเดือดให้ใส่หมู ตามด้วย เกลือ ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว ผงพะโล้ และตามด้วย ไข่เป็ดลงไป และตุ๋นให้สุก สุดท้าย ให้โรยหน้าด้วยฝักชี เป็นอันเสร็จไข่พะโล้ อร่อยแน่นอน ได้รสชาติที่หอมหวานและเข้มข้นด้วยสมุนไพร




Advertisment




ข้อสังเกตุ
ระหว่างที่น้ำเดือดให้ตรวจดูว่าหมูสุกและเปื่อยหรือยัง จากนั้นให้ทำการเบาไฟลง เพื่อทีตุ๋น เพื่อที่จะได้ความเข้ทข้นของน้ำพะโล้

เมนูไข่ เมนูอาหารเช้า

เคล็ดลับ แต่ไม่ลับ
ไข่พะโล้ ถ้าตุ๋นนาน จะทำให้มีรสชาติที่อร่อย หอมกลิ่นเครื่องเทศ น้ำพะโล้จะเข้าไปในเนื้อไข่

คำถาม: ทำไมต้องไข่เป็ด
คำตอบ: บล็อค อาชีพขายข้าวแกง เคยลองทำไข่พะโล้ด้วยไข่ไก่ ผลปรากฎว่า เวลาตุ๋น หรือปรุง จะต้องมีการใช้ช้อนทำการคน แล้ว จะทำให้ไข่ไก้ เปื่อยยุ่ยไม่มีชิ้นดี คือ ไม่ทรงรูปของไข่ไว้เลย เวลาตักขายกับข้าวแกงแล้วดูไม่น่ากิน และข้อสำคัญ ไข่แดงของไข่เป็ด จะเป็นเนื้อสีแดงนวล ดูน่ากินมาก ขอบอก แล


เมนูแนะนำ แกงเขียวหวานหมู

สูตรข้าวแกงมากมาย


Share:

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข้อมูลน่าสนใจ เชื้อก่อโรค ซาลโมเนลลา ในไก่ต้มจากร้านข้าวมันไก่

ได้อ่านข่าว จากไทยรัฐ และเป็นอะไรที่เกี่ยวกับ สุขภาพและการกิน และเป็นอะไรที่ใกล้ตัวมาก คือ เชื้อก่อโรค จากข้าวมันไก่ลองอ่านและวิเคราะห์กันดู

ข้าวมันไก่
รูป ไก่ต้ม
 
ข้าวมันไก่ เป็นอาหารจานเดียวที่เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี หากินได้ง่าย มีตั้งแต่ ภัตตาคาร ร้านอาหารทั่วไป ร้านอาหารริมฟุตบาท ในห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในตรอกซอกซอย

ด้วยเหตุที่ไก่ต้มทั้งตัว ที่แขวนอยู่ในตู้ ที่เราๆ ท่านๆ เห็นอยู่ และนึกถึงรสชาติของน้ำจิ้มที่ราดลงไปบนเนื้อไก่ที่สับเป็นชิ้นพอดีคำ กินพร้อมกับ น้ำซุป และแนมด้วยแตงกว่า  และเหตุนี้เองที่ทำให้ข้าวมันไก่ขายดี และก็มีวัตถุดิบหลัก ก็คือ ไก่

แต่กระบวนการที่ผลิตไก่เรามิทราบได้ ดังนั้นผู้ผลิตควรเอาใจใส่ในคุณภาพและความปลอดภัยเป็นพิเศษ เพราะเนื้อไก่ เป็นวัตถุดิบที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่ชื่อว่า ซาลโมเนลลา ได้


Advertisment




ซาลโมเนลลา เป็นเชื้อที่พบได้ทั่วไปในสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่สำคัญ ถ้าร่างกายได้รับเชื้อในปริมาณมาก จะทำให้มีอาการคลื่นใส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดหัว ปวดท้อง มีไข้ หนาวสั่น และอ่อนเพลีย ความรุนแรงขึ้นกับเชื้อที่ได้รับ ใครที่มีอาการดังที่กล่าวมา หลังจากกินข้าวมันไก่ ก็รีบไปหาหมอ

แต่ถ้าร้านใหนที่ทำสะอาด และปรุงสุก ก็จะไม่ได้รับผล และมีอาการใดๆ เพราะเชื้อ ซาลโมเนลลาไม่สามารถทนความร้อนที่ 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 15-20 นาที หรือ 62 องศาเซลเซียส นาน 4 นาที



เพื่อความแน่ใจ สำหรับท่านที่ชอบกินข้าวมันไก่ ต้องแน่ใจว่าร้านที่กินข้าวมันไก่ประจำ จะต้องอุ่นไก่และข้าวร้อนอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่า ขายตั้งแต่เช้าถึงเย็น โดยที่ไม่อุ่นเลย เพราะว่าถ้าไม่อุ่นเลย อาจเป็นเหตุให้เชื้อ ซาลโมเนลลา กลับเข้าไปใหม่ได้

แต่ถ้าซื้อเป็นห่อ และยังไม่กิน ก็ให้แช่ตู้เย็นก่อน





สำหรับผู้ขายเพื่อหลีกเลี่ยง และไม่เสียลูกค้า ก็ควร ปรุงให้สุก น้ำเดือน และอุ่นข้าวมันไก่ และตัวไก่อยู่เสมอ และที่สำคัญควรทำความสะอาด อุปกรณ์ เช่น เขียง มีด ใส่ถุงมือเมื่อจับต้องเนื้อไก่ ล้างช้อนให้สะอาด ตากแดด ถ้ามีหม้อต้มช้อน ไว้บริการลูกค้า ก็จะดี 

ติดตามเรื่องราว สูขภาพ และการกินได้ ที่นี่ และ ข้อมูลทำข้าวแกงและสุขภาพ ที่นี่

ข้อมูล: ไทยรัฐ
เรียบเรียง: บล็อค อาชีพข้าวแกง
Share:

สูตรอาหารไทย ง่ายๆ พร้อมวิธีทำ ข้าวราดแกง เมนูอาหารขายดี เอามาให้ชมกัน

สูตรอาหารไทย ข้าวราดแกง เมนูอาหารขายดี เอามาให้ชมกัน


เดินตลาดนัดเช้า ที่ชลบุรี ---->   ดูได้ที่นี่
แกงส้มหยวกกล้วย
เมนูข้าวราดแกงขายดี แกงส้มหยวกกล้วย


Advertisment



วันนี้นำสูตรอาหารไทย แกงส้มหยวกกล้วย ที่แม่ทำให้ทาน มาให้ชมกัน เป็น Video Clip ที่ถ่ายทำไม่นาน 



สูตรและเคล็ดลับ แกงส้มหยวกกล้วยใส่ปลาช่อนนา   อานต่อที่นี่

เมนูอาหารขายดี ต้มยำกุ้ง Tom Yum
เมนูอาหารขายดี ต้มยำกุ้ง Tom Yum

ต้มยำกุ้ง

อาหารไทยขายดีวันนี้ เป็นต้มยำกุ้ง ที่คงความเป็นรสชาติเฉพาะตัว และเป็นอาหารที่มีให้กินทุกแห่ง ทุกภาค กุ้งจากแม่น้ำ และจากทะเล

>>>>>สูตรและวิธีทำ<<<<<
วันนี้ทำข้าวแกงหลายอย่าง ตื่นแต่เช้า คิดไว้นานแล้วว่าจะนำเสนอเมนูขาย อาหาร ข้าวแกง แบบที่ขายที่ร้าน ซึ่งเท่าที่ทราบกันอยู่ว่าขายข้าวแกง จะต้องสับเปลี่ยนหมุนเวียนอาหารกันไป ตามแต่สะถานที่ๆ ขาย เพื่อไม่ให้ลูกค้าจำเจ

- แกงไตปลา ใส่ ถั่วฝักยาว ฟักทอง หน่อไม้ ใส่ปลาอินทรีย์ทอด เท่านี้ก็ขายได้แล้ว ทำรสไม่เผ็ดมาก รสชาติกลมกล่อม หอมปลาทอด ถ้าเป็นปลาย่างด้วยแล้ว รสชาติจะหอมปลาย่างมาก ขอบอก





- แกงไข่พะโล้ใส่หมู เมนูอาหารนี้ ขาดมิได้เลย สำหรับร้านข้าวแกง ผู้ใหญ่กินได้ เด็กกินดี ขายแกงถุงก็นิยมกิน วิธีทำดูตาม Video clip ได้เลยจ้า


- ผัดบวบเหลี่ยม ใส่ไข่ เมนูอาหารนี้บางท่านอาจจะไม่เคยลอง แต่ขอบอกว่า เป็นอาหารที่ทำง่ายไม่ยาก และมีรสชาติที่อร่อยมาก สำหรับคนไม่ทานเผ็ด เด็กทานได้ ขายข้าวแกงก็ได้กำไรดี เพราะมีแต่ไข่กับบวบ



Advertisment



- ผัดพริกแกงหมู ถั่วฝักยาว เป็นอีกเมนูอาหารข้าวแกงที่ร้านอาหารตามสั่งที่นิยมทานกัน แต่ร้านข้าวแกงก็นำมาทำเป็นอาหารที่คนมักจะสั่งข้าวราดแกงเช่นกัน รสชาติเผ็ดนำ หวานตาม เพิ่มสีสันด้วยพริกแดงใหญ่ น่าทานมาก กินกับข้าวสวยร้อนๆ พร้อมไข่ดาว เข้ากันน่าดู

- หมูหมักทอด เป็นอีกหนึ่งอาหารทอด ที่กินกับ เมนูข้าวแกงชนิดอื่นที่เข้ากันได้เกือบทุกชนิดแกง

- ไข่ดาว และแล้วก็มาถึงพระเอกตลอดกาลของอาหารที่คนไทยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นคนมีอันจะกิน หรือคนหาเช้ากินค่ำอย่างเราๆ ก็หนีไม่พ้นไข่ดาว


- แกงพะแนงหมู  และเมนูอาหารข้าวแกงสุดท้ายของ รวมข้าวราดแกงของบทความนี้ ที่เป็นเมนูอาหาร ข้าวราดแกงและก็เป็นพระเอกก็คือ แกงพะแนงหมูนั่นเอง

- สุดท้ายและท้ายสุดก็ คือ น้ำพริกกับ ผักสด เมนูอาหารข้าวแกง ร้านนี้จะต้องมีไว้รับรองแขก และเป็นเมนูอาหารที่ร้านข้าวแกง บริการฟรีให้กับลูกค้า ตั้งแต่เริ่มเป็ดร้านข้าวแกงมา


ครับเป็นไงสูตรอาหารไทยกันบ้าง กับรายชื่อเมนูอาหารอร่อย ข้าวราดแกงที่นำมาให้ดูกัน การทำอาหารแต่ละอย่างต้องใช้เวลาในการปรุง และกว่าที่จะได้ข้าวราดแกงแต่ละเมนู ก็ต้องไปเลือก ซื้อวัตถุดิบอาหารจากตลาด ก็ต้องเลือกของสด ถึงจะได้อาหารที่สดใหม่ทำทุกวัน เพื่อให้ลูกค้าได้กินทานอาหารที่ดีสดใหม่เสมอทุกวัน อาชีพขายข้าวแกง เหนื่อย ไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ก็เป็นอาชีพที่สุจริต และเลี้ยงครอบครัว เราๆ ท่านๆ ตลอดไป
Share:

สูตร วิธีทำ แกงพะแนงหมู สำหรับขายข้าวแกง

สูตร วิธีทำ แกงพะแนงหมู
แกงพะแนงหมู เป็น พระเอกข้าวแกงของอาหารภาคกลาง และจะต้องทำทุกวัน เนื่องด้วยรสชาติที่ไม่เผ็ดมาก ไม่หวานมาก มีความเป็นอาหารไทยครบถ้วน ใครที่ผ่านมาหาซื้อกินจะต้อง สั่งกินข้าวแกงเสมอ แกงพะแนงหมูสามารถที่จะทำให้ร้านข้าวแกงเป็นร้านที่ลูกค้ากลับมากินซ้ำอีก ทั้งนี้จะต้องมีรสชาติที่คงที่ และมีสีสันชวนกิน สูตร และวิธีทำ แกงพะแนงหมู สำหรับขายข้าวแกง เป็น สูตรข้าวแกง ที่ บล็อค อาชีพขายข้าวแกง ทำขายอยู่ ณ ปัจจุบัน

 แกงพะแนงหมู
 แกงพะแนงหมู ขายดีที่สุด หมดก่อนเพื่อน


พื้นที่โฆษณา โดย Google





เครื่องปรุง
1) เนื้อหมู                        2                      กก.
2) พริกแกงภาคกลาง      2                      ขีด
3) พริกแดงใหญ่ซอย      5                       ฝัก
4) น้ำตาลทราย               2                       ช้อนแกง
5) เกลือป่น                      2                      ช้อนแกง
6) กะทิสด (หัว และ หางกะทิ)      1         กก.
7) ใบมะกรูดซอย             10                    ใบ
8) มะเขือพวง                   1                     กก.





วิธีทำ
หั่นเนื้อหมูพอดีคำ พักไว้ก่อน จากนั้น นำหัวกะทิสดใส่ลงกะทะ ไฟร้อนปานกลาง แล้วทำการเคี่ยวกะทิให้แตกมัน จากนั้นนำเนื้อหมูที่พักไว้ ลงในกะทะ ทำการเคี่ยวกับกะทิ ให้เนื้อหมูสุก แล้วทำการใส่ เครื่องปรุง คือ เกลือ น้ำตาลทราย ทำการคั่วซักพัก จากนั้นนำหางกะทิใส่ลงไปให้หมด รอให้แกงเดือด ใส่มะเขือพวงลงไป ชิมให้ได้รส เค็มนำ หวานตาม แต่อย่าเค็มมาก อย่าหวานมาก จากนั้นใส่หัวกะทิลงไป และตามด้วย พริกแดงใหญ่ซอย และใบมะกรูด เป็นอันเสร็จสิ้น การทำแกงพะแนงหมู

เคล็ดลับทำพะแนงหมูให้ อร่อย ให้ผสมพริกแกงเผ็ดใต้นิดนึงกับพริกแกงเผ็ดกลาง จะทำให้สีสันสวยงาม และขั้นตอนสุดท้าย ให้นำหัวกะทิใส่ลงไป ชิมจะมีรสชาติหวานของกะทิ จนรู้สึกได้ ใครปรุงแล้วจะรู้ความแตกต่าง
Share:

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปล่อยให้อ้วน ชีวิตจะสั้นลง 8 ปี

อ้างจากการศึกษาวิเคราะห์ของนักวิจัยมหาวิทยาลัยแมคกิลล์แห่งแคนาดา ถ้าปล่อยให้อ้วน ชีวิตจะสั้นลง 8 ปี และอาจทำให้เจ็บป่วยแบบเรื้อรังได้หลายสิบปี อ้วนทำให้เหนื่อยง่าย นั่งก็เหนื่อย เดินยิ่งไปกันใหญ่ ใส่เสื้อผ้าสวยๆ ตามแฟชั่น ก็ไม่ได้ หน้าบวม จัดแต่งทรงผมยังงัยก็ไม่เข้ากับใบหน้าที่อ้วน



จากการศึกษาได้ทราบว่า การทำให้ตัวเองอ้วนตั้งแต่หนุ่ม จะทำลายอายุขัยของตัวเองได้อย่างร้ายแรง และน่าใจหาย โรคที่เราพบบ่อยอันดับต้นๆ คือ เบาหวานแบบที่2 และโรคหัวใจ ซึ่งเป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้เกิดทุพพลถาพและความตาย

นอกจากนั้นแล้วกลุ่มนักวิจัยให้ความเห็นว่า มักจะเคยชินและเมินเฉยเกี่ยวกับอันตรายที่มาจากโรคอ้วน

จากรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารโรคเบาหวาน และวิทยาต่อมไร้ท่อ ได้กล่าวว่า ในการเปรียบเทียบกลุ่มผู้มีอายุระหว่าง 20 - 39 ปี ระหว่างผู้ที่มีน้ำหนักเหมาะสมกับกลุ่มที่อ้วนอย่างหนัก ได้พบว่าในหมู่ผู้ชายที่อ้วนอย่างหนัก อาจจะมีชืวิตที่สั้นลงไปได้มาก ถึง 8 ปี และผู้หญิงอาจจะสั้นลง 6 ปี และผู้ชายที่อ้วนตั้งแต่เริ่มอาจจะผจญกับสุขภาพที่ทรุดโทรมนานถึง 18 ปี ส่วนผู้หญิงประมาณ 19 ปี

จากนี้แล้วใครที่คิดว่าตัวเองอ้วนก็ลด อาหารที่ทำให้อ้วน หรือ กินผักใบเขียว ก็จะช่วยได้ 
Share:

สูตรแกงคั่วกลิ้ง วิธีทำ สำหรับขายข้าวราดแกง

สูตรแกงคั่วกลิ้ง วิธีทำ สำหรับขายข้าวราดแกง

สูตรแกงคั่วกลิ้ง เป็นอาหารปักษ์ใต้ ที่คงความเป็นชาวใต้ คือ มีรสจัดจ้านด้วยเครื่องแกงที่เผ็ดร้อน แต่ละพื้นที่อาจจะใช้สูตรใครสูตรมัน แกงคั่วกลิ้ง รสจัดทำให้เลือดลมใหลเวียนดี บางคนได้ลิ้มชิมรสแล้วหน้าดำหน้าแดงไปเลย สูตรและวิธีทำนี้ เพื่อขายข้าวแกง ที่ใครสามารถกินทานกันได้ รสจัดกำลังดี

เนื่องจากว่าแกงคั่วกลิ้งขายดีมากสำหรับวันนี้ ก็เลยถ่ายรูปมาให้ดูกัน
สูตรแกงคั่วกลิ้ง
สูตรแกงคั่วกลิ้ง ขายจนหมด



เครื่องปรุง
1) เครื่องแกงเผ็ด (ตอนซื้อบอกร้านค้า ว่าจะทำคั่วกลิ้ง)          2          ขีด
2) ซีอิ๊วขาว              4                ช้อนแกง
3) น้ำตาลทราย       2                ช้อนแกง
4) หมู                      2                กก.
5) ใบมะกรูด            5                ใบ




วิธีทำ
หั่นหมู และสับเป็นชิ้น พักไว้ก่อน ตั้งกะทะไฟร้อนปานกลาง จากนั้นนำหมูลงไปคั่วให้น้ำหมูออก จากนั้นนำพริกแกงคั่วกลิ้งใส่ลงไป แร่งไฟให้แรง พร้อมกับคั่วหมูกับพริกแกงให้เข้ากัน จะออกสีเหลือง เพราะแกงคั่วกลิ้งจะมีขมิ้น จากนั้นปรุงรส เติม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ลงไป และคั่ว แล้วก็ชิมให้ได้รสชาติ จากนั้นซอยใบมะกรูดลงไป แล้วพร้อมขาย

เคล็ดลับทำคั่วกลิ้งให้อร่อย
เครื่องแกงคั่วกลิ้งต้องละเอียด สีเหลืองของขมิ้นทำให้ได้รสชาติ เวลาคั่วจะต้องคั่วให้หมูสุกก่อน แล้วตามด้วย เครื่องแกงคั่วกลิ้ง

ติดตามหน้าหลัก อาชีพ ขายข้าวแกง
ติดตามสูตรข้าวแกง
Share:

ทดลองหุง ข้าวขาว ชัยนาท 1 ข้าวสารสหกรณ์ หุงขึ้นหม้อ หอม

จะขายข้าวแกง ได้กี่มากน้อยจาน ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของข้าวที่เราตัก และ ราคาของข้าว จากประสบการณ์ ก็หาข้าวที่หุงขึ้นหม้อ และก็ถามร้านค้าที่ขายข้าวเค้าบอกว่า ข้าวขาว ข้าวสารสหกรณ์  พันธุ์ ชัยนาท 1 หุงขึ้นหม้อ มีความหอม และไม่แข็งเมื่อข้าวเย็น ก็เลยนำมาหุงซะเลย โดยการหุงก็ยังไม่แน่ใจ ว่าจะกินได้ ฤ เปล่า เพื่อความอุ่นใจก็เลย ผสมกับข้าวหอมมะลิ

ข้าวสารสหกรณ์ ชัยนาท 1
ข้าวสารสหกรณ์ ชัยนาท 1
ด้วยข้อจำกัดของหม้อหุงข้าวไฟฟ้า สามารถหุงได้ 6 ถ้วย ดังนั้น จะหุงแบบโหดเลย คือ ข้าวขาวชัยนาท 1 จำนวน 5 ถ้วย และข้าวหอมมะลิ 1 ถ้วย และ นำที่ใส่ ประมาณ 1 ข้อนิ้วครึ่ง

จากการทดลองหุง ผลปรากฎว่า ข้าวขาวชัยนาท 1 เมื่อหุงออกมาแล้ว มีความนิ่ม หุงขึ้นหม้อ มีความหอม และที่สำคัญ เมื่อข้าวเย็นแล้วจะไม่แข็ง เป็นดังที่ร้านค้าบอก

ข้าวสารสหกรณ์ ชัยนาท 1
ข้าวสารสหกรณ์ ชัยนาท 1


การหาข้าวที่จะขายข้าวแกง เป็นด่านแรกของอาชีพขายข้าวแกง ทำให้เรารู้ว่าจะใช้ข้าวชนิดใหนที่สามารถ ลดต้นทุนเพิ่มกำไรได้ วันแรกของการหุงข้าว อาจจะเจออุปปะสักบ้าง เช่น ข้าวแฉะ หุงข้าวไม่ทันลูกค้า ไม่รู้ปริมาณข้าวที่จะขาย ข้าวเหลือ ตักข้าวมาก ตักข้าวน้อย ข้าวบูด ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา เป็น เคล็ดลับสูตรข้าวแกง ที่เราสามารถเรียนรู้กันได้
Share:

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บำรุงหัวใจด้วย ผักใบเขียว ดีต่อสุขภาพ

บำรุงหัวใจด้วย ผักใบเขียว ดีต่อสุขภาพ ประโยชน์ของไนเตรต

ผักใบเขียว

บำรุงหัวใจด้วย ผักใบเขียว ช่วยให้เลือดลมเดินดี หลายคนรู้ และทราบว่ากินผักแล้วดี บางคนไม่รู้ว่าดียังงัย ดียังงัยกับหัวใจของคนเรา ถ้าคนเราหัวใจแข็งแรง เลือดลมก็สามารถเดินดีไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ดี ส่งผลให้ช่วยป้องกันโรค เช่น เบาหวาน และลดความอ้วน มีเฉลย ว่าช่วยป้องกันเบาหวาน และความอ้วนได้อย่างไร


อ้างถึงผลงานวิจัยนักวิทยาศาสตร์ทั้งของ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และเซาแธมป์ตัน ได้ค้นคว้าและพบว่า สารเคมีธรรมดาอย่าง ไนเตรต ที่มีอยู่ในผักใบเขียว

ประโยชน์ของไนเตรต ช่วยบำรุงหัวใจ และเป็นตัวการที่ทำให้หลอดเลือดโล่งโถง โปร่ง ทำให้เลือดพาออกซิเจนเดินไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายได้สะดวกยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุที่หลอดเดือดโปร่ง โล่ง จะช่วยลดอันตรายของลิ่มเลือดอุดตัน ป้องกันการเป็นอัมพาตและหัวใจวายได้

และที่สำคัญของการค้นพบของพวกนักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า ไนเตรตยังช่วยให้หัวใจที่เป็นโรคทำงานดีขึ้น ช่วยให้มันผลิตสารประกอบ ที่ทำให้หลอดเลือดโล่ง และช่วยเปลี่ยนเซลล์ไขมันสีขาวซึ่งเป็นเซลล์ที่ไม่ดี เปลี่ยนให้เป็นเซลล์ดีสีน้ำตาล ซึ่งนอกจากจะช่วยเผาผลาญไขมันแล้ว ยังต่อต้านความอ้วน และป้องกันโรคเบาหวานแบบที่ 2 ด้วย
ผลการค้นพบครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า เราสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดไม่ให้หนา ด้วยการกินผักใบเขียว ซึ่งเป็นการป้องกัน โดยสามารถปรับเปลี่ยนการกินอาหาร ที่เป็นผัก เท่านั้นเอง

อ่านเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับ สุขภาพ
Share:

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สูตรทําหมูหวาน ให้อร่อย และมีกลิ่นหอมชวนทาน

สูตรทําหมูหวาน
สูตรทําหมูหวานมีมากมาย หาได้ตาม อินเทอร์เน็ต แต่สูตรนี้ได้ทำเพื่อขาย ข้าวแกง และก็มีรสชาติที่อร่อยและมีความหอม มาดูสูตรทําหมูหวาน

หมูหวาน
หมูหวาน Cr Image: bloggang.com 


เครื่องปรุง
- หมู 3 ชั้น                 2                   กก.
- น้ำตาลทราย           1/2                กก.
- ซีอิ๊วขาว                  2                   ช้อนแกง
- ซีอิ๊วดำ                    2                   ช้อนแกง
- เกลือป่นแค่หยิบมือ
- หอมแดง                 20                 หัว
- ขิงซอยแค่หยิบมือ
- น้ำมันพืช

วิธีทำ




หั่นหมูพอดีคำ พักไว้ก่อน ซอยหอมแดง และเจียวหอมซอย ให้หอม จากนั้นใส่หมู น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เกลือป่น ขิงซอย และทำการเคี่ยว ให้งวดเป็นเวลาประมาณ 1 ชม. สังเกตุดูว่าหมูจะนิ่ม และหอมขิงซอย สูตรทําหมูหวาน ให้อร่อย และมีกลิ่นหอมชวนทาน สูตรนี้รับรองว่าอร่อยมาก

เคล็ดลับทำหมูหวาน เคี่ยวหมูหวานตอนเย็น สัก 2 ชม. หลังจากนั้นให้เก็บไว้ตอนเช้า แล้วนำมาเคี่ยวอีก 1 ชม. จะทำให้หมูหวานนิ่ม เคี้ยวง่าย
Share:

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก

Recent Posts

Recent Posts Widget

ผู้สนับสนุน